ตอน ที่ผมกับคุณนั่งประจันหน้ากันบนโต๊ะกลางร้านอาหารในวันนั้น ผมอยากบอกว่า ขอบคุณครับที่ให้เกียรติ….เชิญผมมาร่วมโต๊ะอาหารมื้อนี้…..
คุณ…นั่งอยู่ตรงข้ามผมข้างๆลูกสาว “ของผมกับคุณ” แน่นอนเธอเรียกคุณว่า แม่ และเรียกผมว่า “พ่อ” ก็ คุณ…เป็นแม่เธอจริงๆนี่นา แต่ตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่คุณไม่ได้อยู่ดูแลเธอ ความสนิทสนมของคุณกับเธอ สู้ผมไม่ได้อย่างแน่นอน และตอนนี้ผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอะไรกับคุณดี…
ถ้า เป็นเมื่อก่อนคุณต้องเริ่มด้วยคำพูดที่ว่า กับข้าวที่บ้านก็มีกิน ทำไมต้องมานั่งนอกบ้าน และผมก็ต้องอ้อมแอ้มออกไปว่าก็นานๆซักครั้งจะเป็นไรไป หลังจากนั้นเราก็จะมีเรื่องสนทนากันอีกยืดยาว
สำหรับตอนนี้ไม่เหมือนวันนั้น ผมยังคิดว่าสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คือความฝัน เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนสักนิดว่า ลูกสาวของผมจะมีโอกาสเจอคุณอีก นับตั้งแต่วันที่คุณเดินจากไป ข่าวคราวของคุณก็เงียบหาย ไม่ทราบว่าคุณคอยติดตามเรื่องราวของผมกับลูกบ้างหรือเปล่า แต่ถึงติดตามคุณก็ไม่มีวันรู้หรอก เพราะว่าผมไม่อยากให้คุณรู้… สถานที่ที่ผมไปมันจึงต้องเป็นความลับสำหรับคุณชั่วนิจนิรันดร์…ผมอยาก ให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
โชคชะตาฟ้าลิขิตกระมัง ที่ทำให้เรามีโอกาสเจอกันอีก ความจริงแล้วอยากให้คุณเจอลูกมากกว่า สำหรับผมนะไม่ต้องหรอก
แต่ผมก็ทนคำคะยั้นคะยอของลูกไม่ไหว ทำให้ต้องมานั่งอยู่ตรงหน้าคุณนี่ไง
“คุณ…สบายดีหรือ”ผมถามด้วยคำถามที่เชยบรรลัย
“ก็เรื่อยๆ”คุณว่า
“แม่เค้าไม่หิวหรอก แม่อยากเจอพ่อ”ลูกสาวแซม
ผมออกขำในคำลูกสาว อยากเจอกันอีกทำไมในเมื่อแม่เป็นฝ่ายเดินหนีไปเองแต่ผมก็ไม่พูด….และก็ดูเหมือนว่าคุณไม่หิวจริงๆ
“ฉัน มีลูกสาวกะลูกชาย กับสามีเลิกกันแล้ว เขารับราชการต่างจังหวัดไปพลาดท่าเรื่องผู้หญิง ต้องรับผิดชอบแต่งงานกัน ไม่อย่างนั้นเค้าร้องเรียนผู้ใหญ่อาจเสียหายเรื่องหน้าที่การงาน”
คุณ กระซิบเรื่องราวให้ฟังขณะลูกสาวไปเข้าห้องน้ำ…น้ำเสียงคุณนิ่งและราบเรียบ ราวกับบทเทศนาของแม่ชีผู้บรรลุ แต่ผมกลับนิ่งกว่า…ทั้งที่บรรยากาศตอนนั้นเหมือนกับเรากำลังเล่นไพ่รัมมี่ และคุณเป็นฝ่ายทิ้งสเปโตให้ผมน็อคมืดคามือ แต่ผมก็ไม่ยินดียินร้ายเสียแล้ว….
“ทุกวันนี้ฉันเลี้ยงลูก 2 คนเพียงลำพัง เงินที่เขาส่งมาก็น้อยนิด เพราะกลัวทางโน้นจะรู้…แต่ฉันทนได้”น้ำเสียงคุณยังราบเรียบปกติ แต่ขอบตาคุณเริ่มแดงและน้ำเสียงเริ่มสั่นเครือเมื่อคุณบอกว่า
“ฉันอยากขอโทษเธอ….”
พนักงาน บริการเดินมาพอดี เขารินเหล้าและเติมโซดามาปริ่มแก้ว ผมยกเทลงคอพรวดเดียวเหลือแต่น้ำแข็ง…ไอ้ที่ทำท่าจะเดินจากก็ต้องกลับมาชง ใหม่ พร้อมมองค้อนนิดๆเหมือนจะพูดว่าหมอนี่ท่าจะคอทองแดง
“เรื่อง นั้นไม่เป็นไร…ครั้งแรกที่คุณหันหลังเดินหนี ผมเฝ้าเดินตามคุณอยู่ร่วม 2 ปี แต่มาคิดอีกทีมันไม่มีประโยชน์ที่จะตามคนที่ไม่รู้จักหันหลังมามอง ผมหันหลังกลับและเดินไปตามทางของผม ทุกวันนี้ผมสบายดีและสบายมาก”ผมใส่คารม ความมึนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้เริ่มเจรจาได้คล่อง
คุณหัวเราะทันที
“ฉันคิดว่าเธอจะเลี้ยงลูกไม่ได้และต้องส่งลูกมาให้ฉันซะอีก แต่เธอเลี้ยงได้ และดีกว่าฉันเสียอีก”คุณพูดเหมือนจะเยินยอ
“ตรงไหน”ผมถาม
“ก็ฉันนึกว่าลูกจะเป็นเด็กเก็บกดและเงียบขรึม ที่ไหนได้เค้าร่าเริงและอารมณ์ดีมีอารมณ์ขัน”คุณบอก
อาหาร มื้อนั้นอาจจะเป็นมื้อพิเศษที่สุดสำหรับลูก แต่สำหรับผมและคุณอาจเป็นมื้อธรรมดา ๆ เผลอๆอาจเป็นมื้อที่เราสองคนรู้สึกฝืดคอที่สุดก็อาจเป็นได้
ลูกกลับมาที่โต๊ะ….เรา…เลิกคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปล่อยให้ลูกซึ่งท่าทางอยากจะคุยกับคุณมากกว่าเป็นผู้แสดงบทบาท
น้ำ แข็งในแก้วเหล้าละลายจนหมด ผมลองยกขึ้นจิบ รสชาติของมันปร่าแปร่งจนดื่มไม่ได้ ความรักชีวิตคู่ของผมกับคุณไม่ผิดอะไรกับเหล้าแก้วนี้…และระหว่างคุณกับ สามีใหม่ของคุณก็เหมือนเหล้าแก้วนี้เช่นกัน
“เอาเหล้าแก้วนี้ไปทิ้งแล้วชงมาใหม่”ผมบอกพนักงานบริการ….คราวนี้ผมเทลงคอพรวดเดียวหมดแก้วอีก
พนักงานบริการกลับมาชงให้ใหม่….อีกแก้ว
ฤทธิ์ แอลกอฮอล์วิ่งพล่านอยู่ในสมอง ผมเห็นโลกทั้งใบรื่นรมย์ขึ้นมาทันที จริงๆแล้วผมว่ามันมีสีสันสดสวยเสมอไม่ว่ายามนี้หรือยามไหน นั่นอาจเป็นสิ่งที่เจือจานไปถึงลูกของผม…
ขณะเดียวกันโลกของคุณอาจหมองหม่น ขาดชีวิตชีวายามที่คุณต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง…
เรา ทานอาหารร่วมกันไม่หมดโต๊ะ เพราะไม่มีใครหิวกันซักนิด แต่เราก็ต้องร่ำลากันตรงนั้นเพราะใกล้มืดค่ำ และคุณต้องขับรถกลับบ้านที่อยู่ข้ามจังหวัดไปร่วม 200 กิโลเมตร
เหล้า แก้วสุดท้ายผมจิบไปนิดเดียว แต่ตอนนี้มันกลับมาปริ่มล้นแก้วอีกแล้ว ผมไม่บังอาจยกขึ้นมาดื่มได้อีก เพราะรู้ดีว่ามันคือรสชาติของน้ำแข็งที่หลอมเหลวผสมโซดา มันแปร่งปร่าไม่ซ่านลิ้นเหมือนเหล้าที่ชงใหม่ อีกซักพักเถอะ พนักงานในร้านก็ต้องยกมันไปเททิ้ง….
ผม หิ้วเหล้าที่เหลือค่อนขวดติดมือมาด้วย กะว่ามาชงกินเองที่บ้าน อารมณ์ครึ้มของผมคงไม่เว้นวรรคปล่อยให้น้ำแข็งละลายจนเหล้าจืดเหมือนอย่าง ที่เคยเป็น.
เผยแพร่ครั้งแรก
http://www.oknation.net/blog/yuth111/2007/12/15/entry-1
ยัยต๊องส์
ก.ย. 23, 2010 @ 21:52:46
ไม่ขอวิจารณ์ใดๆๆเพราะทุกคนมีอดีตที่เจ็บปวดทั้งนั้นขึ้นแต่ว่าใครเจ็บและทนได้ก้าวเดินต่อได้ไกลว่ากันเหล้าแก้วนั้น จางลง คือประสบการณ์ชีวิตที่ยิ่งใหญ่แต่…เหล้าแก้วใหม่…คือ ปัจจุบัน อย่าทำให้มันจางเหมือนแก้วนั้นก็พอจ้องรู้ว่าจางจากอะไร จได้เติมได้ถูกเพื่อให้รสชาติลงลัวสามารถดื่มด่ำต่อไปได้…เหล้าจางเติมเหล้าให้ชีวิตร้อนแรงมากขึ้น…น้ำแข็งน้อยไปทำให้เข้มเกิน ร้อนแรง ก้อต้องเติมน้ำแข็ง ชีวิตจะได้เย็นมากขึ้น………และสุดท้ายมันจะได้เป็นเหล้าที่รสชาติลงตัว สามารถดื่มต่อในรสชาติที่เราชอบ ลงตัวได้อีกนานแสนนาน ในความทรงจำทั้งรูปสีในแก้ว กลิ่นที่หอมหวานของสุรา และรสชาติที่น่าจดจำเป็นรสชาติเฉพาะที่ไม่ต้องไปหาดื่มที่ไหน นอกจากเหล้าแก้วใหม่ที่บ้านหลังปัจจุบัน
Anonymous
ก.ย. 25, 2010 @ 10:55:13
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ เดี่ยวไม่นานอาจจะเปลี่ยนจากดื่มเหล้ามาดื่มน้ำผึ้งแทนรับรองหวานมิรู้ลืม สู้ต่อไปค่ะ แล้วเอาเหล้าแก้วนั้นไปทิ้งซะนะค่ะ
ยัยต๊องส์
ต.ค. 15, 2010 @ 07:59:21
เหล้าแก้วนั้นเป็นไงไม่รู้..รู้แตตอนนี้เหล้าขวดนั้นยังจำได้ดี…
ยัยต๊องส์
พ.ย. 22, 2010 @ 02:57:26
อยู่คนเดียวบ้างก็ดีว้าวุ่นใจมานานปีกับใครคนนั้นไม่สนก็ได้..ไม่ต้องมาแคร์กันทางใครทางมันแบบนั้นแหล่ะดีแต่เราก็รู้กันอยู่แก่ใจว่าทำไม่ได้หรอกนะ.ห่างกันอย่างนี้ยังไง๊..ยังไงความรู้สึกก็คงเดิมที่เคยมีก็ " คิดถึงเธอ" ทุกนาทีที่ห่างกัน